ตลาดหุ้นเอเชียเปิดในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ในวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดออมหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ (20 ม.ค.) หลังจากนายโจ ไบเดน เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 อย่างเป็นทางการ ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าคณะรัฐบาลชุดใหม่จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร นำโดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ที่ทะยานขึ้นเกือบ 17% หลังบริษัทเปิดเผยจำนวนผู้ใช้บริการที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 4/2563

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,188.38 จุด เพิ่มขึ้น 257.86 จุด หรือ +0.83%

กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษเปิดเผยว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวนมากถึง 1,820 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตพุ่งสู่ระดับ 93,290 ราย

ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น 38,905 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ระดับ 3,505,754 ราย

นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ เรียกร้องความเป็นเอกภาพในสหรัฐ ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งแรกของเขาต่อชาวอเมริกัน หลังทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ

เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ราย บาดเจ็บ 8 ราย หลังเกิดเหตุระเบิดที่อาคารหลังหนึ่งกลางกรุงมาดริดเมื่อคืนวานนี้

เหตุระเบิดส่งผลให้อาคารดังกล่าวพังทลายลง ขณะที่เกิดเพลิงไหม้ภายในอาคาร

ผลการศึกษาของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์และไบโอเอ็นเทค ระบุว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ซึ่งบริษัททั้งสองพัฒนาร่วมกัน มีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ที่พบในอังกฤษ

ทั้งนี้ ไวรัสดังกล่าวมีการตรวจพบในอังกฤษเป็นครั้งแรกในเดือนก.ย.ปีที่แล้ว โดยไวรัสนี้มีสายพันธุ์ B.1.1.7. และสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดิมถึง 70%

แหล่งข่าวระบุว่า รัฐบาลญี่ปุ่นมีแนวโน้มอนุมัติการใช้วัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์เป็นการฉุกเฉินในวันที่ 15 ก.พ. ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะมีการจัดการประชุมในวันดังกล่าว และการฉีดวัคซีนจะเริ่มขึ้นในเดือนก.พ.

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นสามารถบรรลุข้อตกลงกับบริษัทไฟเซอร์ในการซื้อวัคซีนให้มีความเพียงพอสำหรับประชากรจำนวน 72 ล้านคนภายในปีนี้ จากจำนวนทั้งหมด 126 ล้านคน

ธนาคารโลกออกรายงานเมื่อวันพุธที่ผ่านมาระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว 4% ในปีนี้ และ 4.7% ในปีหน้า โดยได้ปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และการใช้นโยบายด้านการคลังของรัฐบาล

อย่างไรก็ดี ธนาคารโลกเตือนว่า แนวโน้มเศรษฐกิจยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน อันเนื่องจากความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศ

ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในวันนี้ เกาหลีใต้มีกำหนดเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค. ออสเตรเลียจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากเวสต์แพคและอัตราว่างงานเดือนธ.ค. ญี่ปุ่นเตรียมเปิดเผยยอดนำเข้า ยอดส่งออก และดุลการค้าเดือนธ.ค. ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีกำหนดจัดประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย ด้านสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนม.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนธ.ค.

ส่วนในวันพรุ่งนี้ ญี่ปุ่นมีกำหนดเปิดเผยอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค. ออสเตรเลียจะเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. อังกฤษเตรียมเปิดเผยยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนม.ค.จากมาร์กิต/ซีไอพีเอส ขณะที่ฝรั่งเศส เยอรมนี อียูจะเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนม.ค.จากมาร์กิต และสหรัฐมีกำหนดเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนม.ค.จากมาร์กิต, ยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)